top of page

กังไสสยาม 10:แตกแยก ร้าวราน แผ่นดินเกิด (2)

Updated: Apr 8



เกียนเบ๋งนึกเสมอ “ความอดทนคือคุณค่าของชีวิต”


ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ในหนันหยาง ตกค่ำก็เหมือน “สวรรค์ตกนรก” แสงไปจากดวงโคมส่องสว่าง ตามโรงบ่อน โรงน้ำชา โรงงิ้ว มีทุกระดับไว้เรียกลูกค้านับแต่แรงงานยาจก จนถึงนายห้างใหญ่ หากเพลี่ยงพล้ำก็อาจจะหมดตัว ไปพร้อมกับตัวเลข ที่เกินคาดเดา “นักพนัน” เป็นอาชีพของคนบางกลุ่ม ซึ่งที่สุดก็ต้องไปข้องแวะกับสิ่งโสมม ไม่ว่า ฝิ่น โสเภณี ก๊กนักเลง ไม่ว่าจะที่ปัตตาเวีย สิงคโปร์ ปีนัง กลางคืนเต็มไปด้วยอันตราย


“ดีแล้ว ที่ลื้อไม่ชอบเที่ยว พวกคนงานเหมืองโงหัวไม่ขึ้น เดี๋ยวไปกูลิม ฝั่งไทรบุรี ลื้อจะเห็นเอง” อาจ๊งว่า


“อั๊วว่ามันเป็นนรก มีอย่างที่ไหนเอาแรงงานมาทำเหมืองขุดแร่ แล้วก็ล่อด้วยฝิ่น ด้วยโป เงินทองละลายหายกลับเข้าไปในกระเป๋านายเหมืองเอง คนงานกลายเป็นซากศพเดินไปมา ตายไปไม่มีญาติเซ่นไหว้” อาเบ๋งพ้อ


“ชีวิต บางทีมันเลือกไม่ได้นะ อาเบ๋ง”


“อั๊วว่าได้” เกียนเบ๋งแย้ง


“อาเบ๋ง ลื้อคงเกิดมาจากครอบครัวที่ดี ดูหน้าตา ท่าทาง ก็พอรู้ พวกเราคนจีนลำบากอดอยากเพราะฝนฟ้าด้วย เพราะความแตกแยกด้วย มีแต่คนอยากเป็นใหญ่ เหยียบหลังคนต่ำต้อย ต้องร่อนเร่ข้ามทะเลมาหากิน ไม่ค่อยมีหรอกนะ ที่มาจากครอบครัวอย่างลื้อ”


แม้อาเบ๋งจะไม่เคยปริปากบอกใครเรื่องส่วนตัว แต่หากดูจากท่าทาง การพูด โดยเฉพาะแววตา ก็รู้ได้ว่าอาเบ๋งไม่ใช่คนหย่อนพร่อง พ่อแม่คงสั่งสอนตามขนบขงจื้ออย่างโบราณ ซึ่งในแง่หนึ่งช่วยหล่อหลอมความมั่นใจในตัวชาย เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ หากฉลาดรู้จักปรับตัวจะเสริมความสง่างามให้แก่ชายผู้นั้นได้อย่างมีเสนห์


เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ ห้างร้านต่างไม่หยุดทำมาหากิน เพราะคนโดยมากก็จะออกจับจ่ายกันวันนี้


“สายๆ เราจะไปส่งข้าว แป้ง ที่ห้างโกหงวนกัน ต้องแยกส่วนที่กินเองในห้างโกหงวน กับส่วนที่ห้างส่งขาย ที่มากับเรือลำนี้ เป็นส่วนที่ใช้เลี้ยงคนในห้าง” อาจ๊งบอกงานที่ต้องทำ


ข้าวสารต่างชนิดค่อยๆ ลำเลียงขึ้นบนรถลากด้วยแรงงานชาวสิงหล ข้าวอย่างดีจากสยามคงเลี้ยงคนในครอบครัว ส่วนข้าวรองคงใช้เลี้ยงคนงานในห้าง


“ไปบ้านตระกูลคอ” เสียงอาจ๊งสั่งเป็นภาษามลายู


ไม้ช้านานรถลากทั้งขนของและขนคนก็มาหยุดที่คฤหาสน์หลังงาม แบบตะวันตก ตกแต่งผสมจีน มีอักษรจีนมงคลเขียนเรียงลงอยู่ทั้ง 2 ข้างประตู เหนือกรอบประตูมีบ้านบอก บ้านตระกูลคอ


“ตระกูลคอ  กว้างขวางมากแถบอันดามัน ตั้งแต่ปีนัง ตรัง พังงา ระนอง กระบุรี ท่านเจ้าสัวใหญ่ เป็นเจ้าเมืองระนอง พระเจ้ากรุงสยามไว้จากใจท่านเจ้าสัวใหญ่มาก ลูกหลานของท่านก็เป็นเจ้าเมืองต่างๆ ในแถบอันดามันนี้อยู่ทั่วไป” อาจ๊งเล่า


เกียนเบ๋งเอง ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะให้นึกเมืองต่างๆ ที่อาจ๊งเอ่ยมา นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เพราะไม่เคยเห็น ได้แต่คาดเดาเอาว่าคงทำเหมืองดีบุกเหมือนๆ กับเมืองอื่นๆ ในมลายู


ไม่นานนัก ประตูเปิดออก ชายหนุ่มซึ่งมองดูก็พอรู้ว่าเป็นคนรับใช้ เห็นอาจ๊ง ก็พยักหน้า และส่งสายตาให้ไปที่ประตูข้าง อาเบ๋งเดินตามไป มองตรงไปเห็นครัวด้านหลัง ยืนคอยรับกระสอบข้าว ทันใดก็ต้องชงัก


“จันทร์ เธอจะลงไปทำไม ครัวเหม็นจะตาย นี่เรากำลังจะไปเรียนเปียโนกันนะ” เสียงเด็กสาวคนหนึ่งดังไล่หลัง


เจ้าของชื่อเรียกนั่น หันหลังมา “ฉันอยากดูเจ้หลินทำกับข้าวมากกว่า” ทันใดเหลือบไปเห็นชายหนุ่มผมเปีย พลางนึกคุ้นหน้า อาเบ๋งเองก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ก้มคำนับๆ อยู่อย่างนั้น


“คุ้นหน้าจัง เคยเห็นที่ไหน” เด็กสาวเอ่ยขึ้น


“จันทร์ เธอคุยกับผู้ชายก่อนอีกแล้ว” อาหมุยลูกสาวคนเล็กในตระกูลคอต่อว่า


“หมุย นี่สมัยไหนแล้ว เสียแรงเรียนโรงเรียนคอนแวนต์นะ จำที่มาแมร์บอกได้ไหม “คน” คือ คนเท่ากัน ชายหญิง จนรวย เราต้องเคารพที่ความเป็นคน” ชมจันทราแย้ง


เกียนเบ๋งพอจับความภาษามลายูได้บ้าง แต่แสร้งเงียบไว้เป็นดี


留言


bottom of page