top of page

กังไสสยาม 10:แตกแยก ร้าวราน แผ่นดินเกิด (3)


“มาส่งข้าวกันหรือคะ ขอบคุณมาก” ชมจันทราเอ่ยกับอาจ๊ง พลางหันไปมอง ยิ้มให้เกียนเบ๋ง อาหมุยรีบดึงตัวชมจันทราออกไปจากครัว ขึ้นรถลากไปเรียนเปียโนที่โบสถ์คริสต์ ไม่มีใครกล้าดุว่าชมจันทรา เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านกรมการเมืองไทรบุรี พระมาลยกิจสวัสดิ ทั้งหม่อมเนื่อง ในสุลต่านไทรบุรีก็เอ็นดูชมจันทราไม่น้อย ด้วยความสมัยใหม่ หม่อมเนื่องจึงมั่นใจว่าชมจันทราจะเอาตัวรอดได้ในวันข้างหน้า จึงฝากฝังให้เข้าเรียนคอนแวนต์ที่ปีนัง โดยอยู่ในความดูแลของตระกูลคอ แม้ชมจันทราจะดูกล้า ผิดขนบลูกจีนญอนญ่า แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเสื่อมเสียเกียรติแห่งท่านกรมการเมือง ซ้ำยังทำอาหารเปอรานากันได้อร่อยไม่แพ้สาวญอนญ่า


เกียนเบ๋งใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ก็คิดเสมอว่า ‘อยู่กันคนละโลก’ จริงๆ อย่าหวังอะไรที่มันยากเกินไป


“อาป๊า สันติบาลจะเข้ามาตรวจสอบโรงเรียนจีนในห้วยยอดและกันตังอาทิตย์หน้า มีคนไปฟ้องว่าครูจีนของเราพยายามเผยแพร่ความคิดแบบบอลเชวิก พวกหอการค้าไทยจีน ก็เลยต้องให้ความร่วมมือกับสันติบาล ไม่อย่างนั้นโรงเรียนอาจถูกปิด” เถ้าแก่รอง เข้ามารายงาน “พ่อ”


“เรื่องนี้ ระแคะระคายมาพักหนึ่งแล้ว อาหลงก็มาเล่าให้อั๊วฟังเอง ก็พยายามแบ่งรับทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายกั๋ว

หมินตั๋งกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ไม่เป็นผลดีต่อเราทั้งนั้น หากจะเข้าข้างฝ่ายไหนสักฝ่าย เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวจีน อีกอย่างต้องไม่ลืมว่าเราคือชาวสยาม เราต้องรักษาประโยชน์ของสยามด้วย โกสอง ลื้อว่าแปลกไหม อำนาจและเงินทอง อยู่ในมือกั๋วหมินตั๋ง แต่ทำไมกลับไม่ช่วยให้ชาติมั่นคงเป็นปึกแผ่นเลย ตั้งแต่ปฏิวัติซินไห่ต้นมา”


“จริง อาป๊า มีแต่ระดมทุนขอเงินๆ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ไม่พอใจมากขึ้น นี่ข่าวมาว่าญี่ปุ่นเข้ายึดแมนจูเรียได้แล้ว หากพวกกั๋วหมินอยู่ที่ปักกิ่ง อาจไม่เกิดเรื่องนี้ แล้วยังปลุกระดมให้คนจีนเกลียดพวกญี่ปุ่น นี่เห็นว่าส่งตัวแทนไปปลุกระดมในสิงคโปร์แล้ว” เถ้าแก่สองเห็นด้วย


“บางทีเงินทุนที่เราส่งไปอาจไม่ถึงมือชาวบ้านก็ได้ เอาอย่างนี้ โกสอง ลื้อไปเตรียมตัวให้ครูใหญ่ และครูสอนภาษาจีนทุกคนเตรียมตัว ที่สำคัญ ต้องพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยให้ได้เร็วที่สุด เพราะทางการจะถือเป็นข้ออ้างได้ว่า ไม่รู้ภาษาไทย จะไม่ให้สอน เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนก่อน”


รุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่แจ้งดี รถคอกไม้สำหรับขนส่งสินค้ามาจอดรถ เกียนเบ๋งเป็นคนเรียบง่ายแต่ไหนแต่ไร เอาจริงแล้วรถแบบนี้จากกันตังไปปะเหลียน ก็ไม่ได้สบายนัก หากไม่ชินก็คงต้องเมารถกันบ้าง เถ้าแก่สองติดตาม “พ่อ” ไปดูงานเสมอ เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่อเค้าลุกลามบานปลายไปทั่วทุกแห่งใน หนันหยาง

“ปีนี้พริกไทบ้านเรางามมาก อาป๊า” เถ้าแก่สองชวนคุย


“เอาอีกแล้ว โกสอง อย่ามองอะไรๆ เข้าข้างตัวเอง ให้ฟังจากลูกค้าที่ค้าขายกับเรา ใครจะมองว่าของตัวไม่ดี” เจ้าสัวเบ๋งถือโอกาสสอนลูกชายคนรอง พริกไทชอบอากาศแบบร้อนชื้น แต่น้ำมากเกินไป รากอาจจะเน่าได้ ต้องทำรางระบายน้ำ ตลอดแนวหลักต้นพริกไท อาเบ๋งยืนมองไร่พริกไทด้วยความภูมิใจ พลันนึกถึงวันแรกๆ ที่ลงมือปลูกกับคนงานไม่กี่คน ปลูกใต้ต้นทองหลาง ใช้ทองหลางเป็นพี่เลี้ยง ในช่วงเริ่มปลูก ต้องเรียนรู้การปักชำ ตอนกิ่ง เตรียมปุ๋ยหมักขี้วัว ได้จากคนมุสลิม ซึ่งเกียนเบ๋งคุ้นเคยเป็นอย่างดีตั้งแต่อยู่ที่ปัตตาเวีย พูดมลายูกับพวกเขาได้ พริกไทยามแก่จัด ช่อเม็ดจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ตัดกับสีเขียวของใบ ดูสวยมีเสนห์ เกิดกำลังใจ หลังเก็บเกี่ยว ต้องล้างน้ำให้สอาด สัก 3-4 ครั้ง แล้วรีบผึ่งแดดให้แห้ง ยังคิดถึงความหลังเมื่อครั้งแรกที่มาเมืองตรัง


“พริกไทโตดีที่เกาะชวา ลมแดดฟ้าฝนกลางๆ ปะเหลียนมีป่าไม้สูงทมึน บังแดดได้ดี ปล่อยพริกไทเลื้อยขึ้นไป ดินไม่ต้องขุด เอาต้นพริกไทวางไว้แนบต้นไม้ แล้วเอาดินพูนทับ รากพริกไทจะหากินตามผิวดินและน้ำไม่ขัง”

นานวัน พริกไทเติบโตดี ส่งขายปีนัง มะละกา ไปถึงย่างกุ้ง มัณฑเลย์


“มาถึงแล้วครับท่านเจ้าสัว” คนสนิทอาเบ๋งรายงาน


“ให้ไปพบที่ห้องทำงาน” เกียนเบ๋งสั่ง


หลังจากที่เคยปฏิเสธเข้าร่วมเป็นกรรมการจีนหนันหยางมลายูไปหลายครั้ง เพราะไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกระหว่างชาวจีนด้วยกัน และอาเบ๋งยังคงยืนกรานเช่นเดิมมาตลอด


“ตอนนี้ พรรคคอมมินิสต์มลายาได้ก่อตั้งครบมาเกือบ 2 ปีแล้ว พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุน ด้วยท่าทีอันตรายของญี่ปุ่น เราชาวจีนมลายาต้องร่วมมือกันต่อต้าน การที่ฝ่ายจีนคณะชาติไม่สามารถปกป้องชาติ แต่ปล่อยให้กองทัพญี่ปุ่นเข้ารุกรานแมนจูเรีย ย่อมแสดงให้เห็นว่าอ่อนแอมากเพียงใด ซ้ำยังฉวยโอกาสพอมีพอได้ ทำร้ายพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติของตน ไม่ได้ปฏิบัติตามลัทธิไตรราษฎร์แต่อย่างใด”


ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์มลายารายงาน


“อั๊วจะช่วยอะไรได้ อั๊วเป็นจีนสยาม ถือสัญชาติสยามแล้ว ทำอะไรก็อาจถูกจับตามองได้ ยิ่งตอนนี้ สันติบาลเข้มงวดมาก”


“เพียงแค่ท่านเจ้าสัวไม่ปฏิเสธ พวกเราก็ดีใจมากแล้ว ในวันข้างหน้าหากเดือดร้อนอะไร พวกเราหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าสัว”


สมาคมจีนโพ้นทะเลไท่หนันหยางหรือสมาคมกะเรียนขาว ของเรา ยินดีให้ความช่วยเหลือชาวจีนทุกกลุ่มโดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่แผ่นดินนั้น หากพรรคคอมมิวนิสต์มลายายืนยันว่าจะไม่ใช้เมืองตรัง หรือที่อื่นๆ ในแถบนี้เป็นฐานแทรกซึมทางการเมือง อั๊วก็ยินดี”


นับวัน อองเกียนเบ๋ง ยิ่งรู้สึกเห็นใจฝ่ายคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าความคิดเห็นของกลุ่มสมาคมจีนในสิงคโปร์จะ “ฟังขึ้น” เงินทองที่ชาวจีนโพ้นทะเลในหนันหยางร่วมแรง ร่วมใจส่งกลับบ้านเกิด รวมทั้งระดมทุนในโอกาสต่างๆ ดูจะมลายหายไปหมด ฝ่ายจีนคณะชาติไม่อาจสร้างความสามัคคีในชาติได้ ชาวบ้านตาดำๆ ยังอดอยาก สิ้นหวัง นับวันคนอพยพออกจากเอ้หมึง กวางตุ้ง ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หากจะให้หันมาสนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์ต่อสยาม ซ้ำยังสนับสนุนให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชิงชัง อาฆาต ฝ่ายจีนคณะชาติ ซึ่งไม่ใช่แนวทางของออกเกียนเบ๋ง “เราชาวจีนอยู่กับความแตกแยกมานานพอแล้ว” อาเบ๋งมักเอ่ยเช่นนี้กับคนใกล้ชิดเสมอ


Hozzászólások


bottom of page