top of page

กังไสสยาม 11:เดินทาง เรียนรู้ ริเริ่ม (2)



“นี่ ห้างไถ่หยางก็กว้างขวาง พอจะช่วยรับซื้อข้าวเปลือกไปได้บ้างไหม เมืองสงขลา ข้าวเปลือกเต็มยุ้งไปหมด เกรงใจอยู่ที่จะรบกวนเขา” คุณพระกล่าว


“กระผมก็บอกอะไรไม่ได้ คงต้องถามไปที่ สิงคโปร์ แต่ที่นั่นโรงสีก็ไม่ใหญ่โตนัก  จะส่งไปที่ปัตตาเวีย ก็กลัวจะชื้นเสียหายก่อน ขอรับ”  อาจ๊งตอบ แบ่งรับแบ่งสู้


“นี่คงต้องทำใบบอกถึงท่านสุลต่านเสียแล้ว เสียดาย ข้าวเมืองไทรบุรีดีๆ ทั้งนั้น หากโรงสีไม่พอ ชาวนาก็จะไม่มีอาชีพ”


อาเบ๋งสังเกตเห็นแววตาใจดีในตัวท่านกรมการเมืองท่านนี้


“จริงอย่างลื้อคิด อาเบ๋ง ท่านกรมการเมืองคนนี้ใจดีมาก อารมณ์ดี ใจเย็น แต่ก็หนักแน่น ถึงรับมือพวก บริเตนได้ยังไงเล่า ท่านเป็นคนเมืองกระบุรี คุ้นเคยชอบพอกับเจ้าเมืองระนอง กระบุรี  ชุมพร ดีมาก ภรรยาท่านเสียไป ตอนออกลูก ลูกสาวท่านงามมาก ตอนนี้เรียนอยู่ที่ปีนัง หม่อมเนื่อง ท่านเอ็นดู เลยรับเป็นลูกบุญธรรม”


ใครเลยจะล่วงรู้อนาคตว่า บุตรีของท่านกรมการเมืองท่านนี้ ในวันข้างหน้าจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของอองเกียนเบ๋ง


“อย่างที่อั๊วเล่าให้ลื้อฟัง ไทรบุรี เป็นชามข้าวของมลายู รวมทางปลิสด้วย อีกหน่อยลื้อคงได้ไป ปีหนึ่งๆ ปลูกข้าวได้มาก แต่บางปีไม่ได้ข้าวก็มี ถ้าพายุเข้า แต่ก็ไม่อดอยาก ที่ลำบากก็คนอื่น เพราะทั้งมลายู ถลาง ปีนัง ต้องพึ่งข้าวจากที่นี่ ทางกลันตัน ตรังกานู ยังพอขอซื้อจากปัตตานีได้ เพราะอยู่ในบังคับสยาม ข้าวกับฝิ่น ทำคนฆ่ากันตายมาเยอะแล้ว อาเบ๋ง” อาจ๊งเล่า


“แต่โรงสีไม่พอ หรืออาจ๊ง”


“ใช่ พวกตระกูลผั่ว ผูกขาดโรงสีมาหลายสิบปี มีแต่เครื่องเก่าๆ เดี๋ยวพังๆ มี 3 แห่งนะ แต่ไม่ได้เรื่องสักแห่ง สยามก็ไม่พอใจไทรบุรีเรื่องนี้ เพราะ “ข้าว” เป็นหัวใจของสยาม ข้าวจากสยาม ส่วนใหญ่คนสยามก็กินเอง ส่งไปขาย สิงคโปร์ จีน ไซ่ง่อน ก็แทบจะไม่พอ เจ้าเมืองสงขลา ก็เลยเสนอให้เปิดโรงสีเพิ่ม แล้วซื้อข้าวเปลือกจากไทรบุรีไปสี มันไม่ไกลนะ อาเบ๋ง มีถนนไปได้ เข้าทางบ้านสะเดา นี่อยู่หลายๆ วันอั๊วจะพาเที่ยวเลยนะ สนใจอยากมาอยู่ไหมล่ะ แต่ลื้ออยู่สิงคโปร์น่าจะดีกว่า บ้านเมืองทันสมัยกว่า...


แต่พวกบริเตนไม่ยอมคอยกันท่า พวกนี้ให้คนจีนในบังคับออกหน้า ดูก็รู้ว่าอยากได้ไทรบุรี เพราะเจ้าสัวใหญ่จากปีนัง เข้ามาทำเหมืองในกูลิมเยอะ คนในบังคับบริเตนทั้งนั้น ถ้าได้ไทรบุรีไปด้วย ก็สบาย ข้าวก็มี ดีบุกก็มี”


ในความคิดอาเบ๋ง ข้าว ยังไงก็ต้องกิน หากค้าขายข้าวได้ก็สบาย อายุที่มากขึ้น ทำให้ชายหนุ่มคิดจะทำกิจการเอง


กลับถึงสิงคโปร์ ความคิดต่างๆ มากมายเต็มไปหมด รวมถึงใบหน้าคมขำของสาวน้อย ทำให้เลือดหนุ่มในตัวเกียนเบ๋งสูบฉีด นึกถึงคำอาจ๊ง ‘วัยนี้ น่าจะมีเมียได้แล้ว’ ทว่าหากไม่รักกันเป็นพื้น ก็อยู่เหมือนคนแปลกหน้า


‘ใครๆ เขาก็แต่งกันก่อน อยู่ๆ ไปก็รักกันเอง’ อาจ๊งว่า


แต่อาเบ๋งไมอยากเหมือนใครๆ


เย็นลงอาเบ๋งเตรียมปิดร้าน พลันได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู “อาเบ๋ง”


ทั้งแปลกใจ ดีใจ ปนกันไปหมด อาฮง อาหลง วิ่งเข้ามาหา หน้าตายินดี แววตากังวล


“เกิดเรื่องอย่างนี้ ลื้อ 2 คน คงกลับปัตตาเวียไม่ได้ ตอนนี้” โกปอบอก


“เรา 2 คน ขอบคุณโกปอมาก ที่เห็นใจ เและเชื่อใจเรา” อาฮง อาหลง คุกเข่าลงคำนับ


“เอาเถอะ ลุกขึ้นก่อน ที่อั๊วเชื่อ เพราะอั๊วรู้สันดานอาเหลียงดี มันคงจ้องหาเรื่องพวกลื้อมานาน”


“คืนนั้น อั๊วกับอาหลงแค่ไปกินข้าวที่ตลาด เพราะเห็นว่าประหยัดกันมาหลายมื้อแล้ว ทำงานก็หนัก ไปเที่ยวเล่นบ้าง คงจะดี แต่ อาเหมย ก็เดินมาเข้ามาหา จริงๆ อีก็อยากจะขอให้เราช่วยกันอาเหลียงที่มาติดพันอี พอไม่ยอม อีก็มักจะทำร้ายโบตั๋น” อาฮงเล่า


“แต่เราไม่รู้จักิาเหมย เราไม่อยากยุ่ง อาเหลียงพาพวกมารุม มันมีปืน อั๊ววิ่งจนสุดทาง ไม่มีทางไปต่อ ก็ต้องหันมาสู้” อาหลงแทรก


“ชีวิตแรงงานคนหนึ่ง ถ้าหายตัวไป แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย ในปัตตาเวีย” โกปอเอ่ย


Comments


bottom of page