top of page

กังไสสยาม 8 : สู่สิงคโปร์ เมืองแห่งโอกาส (1)

Updated: Nov 14, 2023




“ยังพอมีเวลา ก่อนเรือออก กินข้าวกันก่อนดีกว่า” อาฮงเอ่ย เด็กหนุ่มที่ไม่ไร้เดียงสาแล้วในวันนี้ ยิ้ม ใจตรงกัน


“ข้าวผัดแดง”


วันแรกที่เหยียบแผ่นดินปัตตาเวีย เด็กหนุ่มทั้งสาม ตื่นเต้นที่ได้กินข้าวผัดต่างเมืองแสนอร่อย และอิ่มท้องที่สุดในชีวิต ข้าวที่ไม่ต้องปนหัวเผือกหัวมัน ถือเป็นของกินแสนวิเศษ ในยามที่ชาวจีนชนบทอีกหลายล้านคนแทบจะไม่มีข้าวกิน


“อร่อยเหมือนเดิม” อาเบ๋งเอ่ย


“ไม่เหมือนเดิม คือ เราจะกินข้าวผัดแบบนี้เมื่อไรก็ได้ตอนนี้ เราไม่อดอยากอีกต่อไปแล้ว” อาหลงว่า


“ลื้อก็ห่วงแต่เรื่องกิน อั๊วไม่อยู่นี่ ลื้อห้ามกินเยอะนะ อาฮงใจดี ไม่เคยดุลื้อเลย” อาเบ๋งแทรก


“เอาน่า มีเงินก็หาความสุขบ้าง กินนิดกินหน่อย ลื้อก็ขี้เหนียว อยู่สิงคโปร์ก็อย่าประหยัดมาก หิวก็กิน” อาฮงแก้ ท้วงอาเบ๋ง เพราะรู้ดีว่าเกียนเบ่งจะไม่ยอมใช้จ่ายอะไรมากนัก เสื้อผ้าเก่า ก็ปะชุนจนเต็มตัว


เสียงนายหน้าคนงาน ตะโกนเรียกคนให้ขึ้นเรือลำที่จะไปปอนติอานัก ทั้งสามคนเดินไปที่เรือ อาหลงช่วยอาเบ๋งหอบตู้หนังสือ อาฮงช่วยถือห่อถ้วยชามของใช้ที่จำเป็น อาเบ๋งถือห่อเสื้อผ้าซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชุด เมื่อต้องแยกขึ้นเรืออาหลงก็ปล่อยโฮออกมา


“ลื้อต้องเขียนจดหมายมาบ่อยๆ นะ เราไม่เคยแยกจากกันเลย” อาหลงสะอื้น ตามนิสัย เหมือนน้องคนเล็ก

อาฮงน้ำตาคลอ ดวงตาแดงก่ำด้วยความห่วงน้อง และรู้สึกว่าดูแลน้องไม่ดี ทั้งสามคนโผกอดกันแน่น


อาเบ๋งฮึดขึ้น ปาดน้ำตา “สิงคโปร์ แค่นี้เอง อั๊วได้ยินว่าทุกเดือนมีเรือไปมาหลายเที่ยวเลยนะ หากไม่ชอบอั๊วจะขอเถ้าแก่กลับมาปัตตาเวีย”


“อย่าทำแบบนั้นนะ ลื้อก้าวไปข้างหน้าแล้ว อย่าย้อนกลับมาอีก อั๊ว 2 คนสิ จะไปหาลื้อที่สิงคโปร์ ไปหาเถ้าแก่ใหม่” อาฮงท้วง


“ต้องระวังอาเหลียงกับพวกของมันด้วย อั๊วว่ามันเล่นไม่เลิก มันจ้องเล่นงานอั๊ว เล่นไม่ได้มันก็เปลี่ยนไปที่อาหลง”


“ลื้อไม่ต้องห่วง อั๊วเป็นกังฟู กระทืบคนไม่เคยพลาด”


แรงงานจีนกรูกันขึ้นเรือ เสื้อผ้าเก่ามอซอ บางคนสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ ผอมจนเห็นซี่โครง ฝิ่น ไม่ให้คุณแก่ใคร เพียงแค่ช่วยให้ลืมสภาพที่เป็นอยู่ไปชั่วขณะ ความทุกข์ ความลำบากมีไว้ให้สู้ ไม่ใช่ลืม ท่ามกลางหมู่แรงงานจีน ใจมุ่งมั่นของหนุ่มคนหนึ่งตั้งขึ้น


‘จีนเป็นชาติยิ่งใหญ่ หากจะอยู่ ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในทุกที่ สักวัน เราจะลุกขึ้น’


“อาเบ๋งๆๆๆ เขียนจดหมายมาหาเราบ่อยๆ นะ” เสียงตะโกนดังซ้ำๆ ค่อยห่างออกไป


ผ่านไปสักชั่วโมง รอบตัวอาเบ๋ง คงมีแต่ท้องฟ้าและท้องน้ำ แดดสาดส่อง ทั่วดาดฟ้าเรือ ร้อนระอุ จนต้องหาที่หลบ แรงงานส่วนใหญ่ลงไปหลบใต้หลังคาชั้น 3 อาเบ๋ง หาที่นั่งพอเหมาะ แม้แดดจะร้อนบ้าง แต่ก็ดีกว่าต้องทนดมกลิ่นเหงื่อไคลคนบนเรือ มีคนหลายหลายชาติ ทั้งแขกอินเดีย ชนพื้นเมือง ส่วนใหญ่พูดภาษาท้องถิ่นซึ่งอาเบ๋งไม่เข้าใจ ต่อมาจึงได้รู้ว่า คือ ภาษาดายัก บูกิส ซุนดา และอีกมากมาย


อาเบ๋งแทบไม่ได้แตะต้องกับข้าวที่นายหน้าแรงงานตระเตรียมไว้ เพราะมีหมั่นโถวหวาน ทำจากมันเทศติดตัวมา เจ้าของบ้านที่เช่าอยู่ใจดี ลุกขึ้นมาแต่เช้า เตรียมของกิน 2 มื้อ พร้อมขนมพื้นเมืองที่อาเบ๋งชื่นชอบ


‘เริมปะห์อุดัง อั๊วทำให้กินเล่น นะอาเบ๋ง เป็นเด็กดี ขยันทำมาหากิน นะ’ อาเบ๋ง ยกมือคำนับ เจ่เจ้ เจ้าของบ้านและอาโกสามี ก่อนออกจากบ้าน


เรือกลไฟสัญชาติดัทช์ ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่นาน ก็มองเห็นชายฝั่งเมืองปอนติอานัก เมืองท่า ประมง ใหญ่บนเกาะบอร์เนียว เรือเทียบท่าราวเกือบ 4 โมงเย็น แม้จะดูไม่คึกคักนัก แต่ก็นับว่า มีคนไม่น้อยทีเดียว ริมฝั่งมีเรือประมงเล็กจอดเรียงราย เรือกลไฟ ไม่สามารถเข้าเทียบชายฝั่งได้ ลอยลำห่างออกมา สักพัก มีเรือเล็ก พายเข้ามาเทียบเรือใหญ่ ดีที่อาเบ๋งมีสัมภาระไม่มาก จึงขนถ่ายลงได้สะดวก


อาเบ๋งมองหาป้าย “ไท่หยาง” สักพักจึงเห็นเด็กหนุ่มคลี่ม้วนผ้าออก ตัวหนังสือหัวกลับ อาเบ๋งนึก ‘คงมีคนเขียนให้’


“อั๊วเอง อองเกียนเบ๋ง” อาเบ๋งแนะนำตัวกับเด็กหนุ่ม ซึ่งคงจะเป็นเด็กรับใช้ในร้าน


Comments


bottom of page