top of page

กังไสสยาม (ฉบับร่าง) ตอนที่ 1/1


แดดบ่ายส่องลอดบานหน้าต่างลูกกรง ม่านฉลุลายสีเขียวเก่าคร่ำ ทว่าสอาด กลิ่นสบู่ครามยามต้องแดดหอม

เสียงอลูมิเนียมกระทบกัน โสตประสาทเริ่มทำงาน ได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ทว่ากลับจาง ฝ้าฟาง


“ท่านเจ้าสัว ตื่นแล้ว” เสียงนางพยาบาลคนหนึ่งเอ่ย


ชายสูงวัย 60 ปีปลายไม่ได้เอ่ย ขานรับแต่อย่างใด เพียงแต่มอง และยิ้มตอบ ทุกครั้งที่มาโรงพยาบาลก็มักจะบอกกับหมอฝรั่งว่า “I am well. I’m o.k. Don’t worry”


สำเนียงภาษาอังกฤษออกจีนๆ ทำให้คุณหมอ บัลคลีย์ ยิ้มทุกครั้ง และมักจะบอกว่าท่านเจ้าสัวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ในเมืองตรัง


อองเกียนเบ๋ง ทอดสายตาออกนอกหน้าต่าง ขณะที่รอให้นางพยาบาล ยกอาหารเช้าสำหรับคนป่วยเข้ามา ปล่อยความคิดลอยไป พร้อมหลุบตาลง ภาพพ่อติดฝิ่นอย่างหนัก ไม่ป็นอันทำงาน ความผิดหวังจากการสอบเข้ารับราชการครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้หัวหน้าครอบครัวที่เคยสง่าผ่าเผยกลับกลายเป็นบัณฑิตขี้ยา เมื่อไม่มีเงินซื้อฝิ่น ก็เริ่มทุบตีภรรยา พี่ชาย และแม้แต่ “ตัวเขา” ก็โดนตี นั่นคือภาพที่ย้ำแผลในใจ อองเกียนเบ๋ง ที่สุด “ฝิ่น” ได้กัดกินบัณฑิตที่ฉลาดลุ่มลึกคนหนึ่งในชนบท ไม่ไกลจากเมืองเอ้หมึง มณฑลฮกเกี้ยน ให้มอดดับลง อย่างที่เรียกกัน “ตรอมใจ” เด็กชายวัยเพียง 11 ปี ยังจำอ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อ ยามสอนให้เขาจับพูกัน ฝึกเขียนตัวอักษรจีน เมื่อหัวหน้าครอบครัวจากไป “แม่” ผู้ที่ขลุกอยู่แต่ในครัว ไม่สันทัดการเพาะปลูก ค้าขายใดๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว อองเกียนฮง พี่ชายคนโต ต้องเดินทางไปใช้แรงงานในต่างจังหวัด เพื่อ “ประกัน” ว่ามีรายได้มาจุนเจือปากท้อง “แม่” ข้อมือที่สวมกำไลหยกรัดทองคำ ในวันนี้ กลับต้องมา จับจอบ เสียม มีดดายหญ้า กำไลหยกรัดทอง ถูกถอดออก พันห่อด้วยผ้าแพรเก็บซ่อนในตู้ ซิวหลิง จะเก็บรักษาไว้ให้นานที่สุด เพราะเป็นของขวัญแต่งงานที่ แม่ ของนางมอบให้ ซึ่ง “ลูกสาว” ในสมัยนั้นจะไม่มีทางได้รับเลย สังคมจีนยุคจารีต เด็กผู้หญิงคือ “ภาระ” เมื่อเกิดมา คงได้เล่นแต่เศษกระเบื้องถ้วยชาม


แสงจันทร์ในชนบท เมืองเอ้หมึง กระจ่างตา กลมโตในคืนเดือนหงาย เกียนเบ๋งได้ยินบทกวีชมจันทร์หลายบทที่ พ่อ มักจะท่องให้ฟัง ยังดังก้อง กระท่อนกระแท่น ลืมเลือน ไปตามกาล “ความผิดหวังของพ่อ คือ สายฟ้าฟาดกระเบื้องหลังคาบ้านให้ต้องแตกสานซ่านเซ็น


“ข้าว” พร้อมกับข้าวง่ายๆ จากโรงครัวในโรงพยาบาล ตรงหน้า ทำให้ เกียนเบ๋ง ยิ้มที่มุมปาก วัยเด็กที่ข้าวสุกเต็มชาม ไม่ปนเผือกมัน จะได้กินอย่างมากก็สัปดาห์ละ 1 ครั้ง มื้อเช้า พี่สะใภ้จะตื่นมาต้มข้าวแต่เช้ามืด หัวมันเทศ หรือหากโชคดี ก็เป็นเผือก ซึ่งเวลาต้มแล้ว จะมีรสหวานหอม กับข้าวชั้นดีคือ ปลาเค็มย่าง หรือไชกัวผักดองตากแห้ง ต้มกับเศษหมูสามชั้น ที่แม่จะไปรอซื้อที่ท้ายเขียงในตลาด เกียนเบ๋งหลับตา เพียงเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อท้น


“โกเบ๋ง เอาอีกแล้ว ลื้อนี่ชอบคิดแต่เรื่องเก่าๆ เศร้าๆ” อาหลง สหายเก่าแก่ครั้งลงเรือมาด้วยกัน 3 ชีวิต พี่ชายคนโต อองเกียนฮง อองเกียนเบ๋ง และหลิมเฉ่งหลง พร้อมกับผู้นำทาง เกียนฮง ตัดสินใจออกเดินทางไปตายดาบหน้ากับน้องชาย เพื่อลดภาระปากท้องในบ้าน ปล่อยให้ภรรยาดูแลน้องอีก 2 คนที่เหลือ


“คิดถึงโกฮง ไม่ได้ร่ำลากัน อาหลง ฉันเองก็ไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเขาที่อเมริกา ครอบครัวเราขาดการติดต่อกันไปนาน”


“คิดถึง ก็เขียนจดหมายไปหาสิ โกเบ๋ง ทางนั้นเขาก็มีธุรกิจ โกฮงเขาไปสบายแล้ว ทิ้งความร่ำรวยไว้ให้ลูกหลาน ไม่เห็นจะต้องห่วงอะไร”


“คิดถึงสมัยที่เราไปถึง ปัตตาเวียกันใหม่ๆ นะ อาหลง เรา 3 คนนี่ ถือว่า ใจกล้า กันมากทีเดียว”


“ความจน อาเบ๋ง อยู่นิ่งๆ ก็ตาย ชีวิตคนก็เหมือนน้ำ มันต้องไหลไป นิ่งบ้าง แต่ก็ต้องไหล”

コメント


bottom of page