top of page

กังไสสยามตอนที่ 9:  เกินเอื้อม ดอกไม้งาม (3)



ตันจงปาการ์คึกคักอย่างเคย วันๆ อาเบ๋งแถบไม่เคยได้พัก ดีที่อาปอจ้างลูกมือเพิ่มอีกคน ผ่อนแรงอาเบ๋งได้มาก มีเวลาทำบัญชีรับจ่าย และลูกค้าต่างๆ ได้เป็นระบบระเบียบ อาปอวางใจ มอบงานหน้าร้านเกือบทุกอย่างให้อาเบ๋ง มีเวลาเดินทางไปพบปะลูกค้าเก่า หาลูกค้าใหม่ที่ บาตัม มะละกา เมดาน ปีนัง ไทรบุรี มากขึ้น พักหลัง อาปอ สุขภาพไม่ดีเท่าไรนัก คงเป็นด้วยอายุที่มากขึ้น และลมฟ้ามรสุม ร้อนชื้น หลังจากป่วยเป็นมาลาเรียครั้งก่อน


“เดือนหน้า อั๊วจะให้ลื้อไป มะละกา ปีนัง ไทรบุรีนะ ลูกค้าแถบนั้นซื้อแป้งข้าวจ้าว ข้าวเหนียว จากสยามมาก กำไรดี ลื้อเตรียมตัวนะ ลื้อลองเอาซิอิ๊วที่ลื้อทำไปขายดูสิ เผื่อได้ลูกค้า” อาปอเสนอ ด้วยความเอ็นดูอาเบ๋งเหมือนลูกหลาน


ซิอิ๊วขาวที่อาเบ๋งหมัก จะอย่างไรก็คงกินไม่ทัน จึงแจกจ่ายให้ลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้าน  ถูกปากชาวจีนในสิงคปุระทีเดียว หลายคนขอซื้อแต่อาเบ๋งมีไม่พอขาย เอาแค่แบ่งกันกินก็พอ


“เถ้าแก่ใหญ่จะไม่ว่าเอาหรือ โกปอ”


“ห้างเราไม่ขายซิอิ๊ว ไม่ได้ตัดหน้าเรา อีกอย่าง ลื้อโตเป็นหนุ่มขึ้นมากแล้ว ลองหาลู่ทางทำมาหากินดู อั๊วเชื่อว่าลื้อจะเป็นเถ้าแก่ได้ แม้ไม่ได้ทำเหมือง หรือโรงรับจำนำ อั๊วว่าถ้าทำมากขึ้น ก็วางขายในร้านได้นะ” อาปอให้กำลังใจ


คืนนี้ อาเบ๋งนอนไม่หลับทั้งคืน นั่งคิดเดาเอาว่า ซิอิ๊วที่หมักไว้จะได้สักกี่ไห ‘เอาน่ะ ถือว่าเอาไปฝาก ไปแบ่งกันกิน’


เรือกลไฟลำกลางๆ พร้อมออกเดินทางจากสิงคปุระ สู่มะละกา เมดาน ซาลังงอร์ ไทรบุรี ปีนัง ตรัง กระบุรี ระนอง และย่างกุ้ง เรือเที่ยวนี้ขนส่งสินค้าเสียมากกว่าส่งคน


“เอานี่ ปืนยังไงก็ต้องติดตัวไว้ สอนลื้อหมดแล้ว ไม่จำเป็นอย่าหยิบออกมา ของร้อน ใช้ขู่ อย่ายิงก่อน ระหว่างทาง อาจเจอพวกโจรสลัด พวกนี้ ซุ่มๆ อยู่แถวๆ เมดาน” อาปอย้ำกับอาเบ๋งอีกครั้ง ให้รักษาปืนให้ดี ใช้ขู่เท่านั้น อย่ายิงคน หากไม่จำเป็น


อาเบ๋งกุมปืนที่รัดเข้ากับผ้าคาดเอวไว้ตลอดเวลา กลัวก็กลัว ทั้งชีวิต 23 ปี ได้จับปืนก็คราวนี้ ลมทะเลพัดต้องใบหน้า อาเบ๋งสูดกลิ่นหอมแห่งลมเข้าเต็มปอด พลางนึกลมพัดตัวมาไกลเหลือเกิน และก็ไม่รู้ว่าจะพัดไปอีกไกลเท่าไร ลมจะพัดตัวกลับไปเอ้หมึงวันไหน คิดถึงบ้าน แม่ พี่น้อง อยากให้มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ “ลมส่ง” สัก 6 ชั่วโมงได้ เรือจึงทอดสมอ รอเรือเล็กมาเทียบรับเข้าฝั่งเมืองมะละกา


มะละกา เมืองท่าสำคัญอีกแห่งของสเตรทออฟเซทเทิลเมนต์ เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ต่างจากสิงคโปร์นัก ทั้งฮินดู สิงหล จีนภาษาต่างๆ


“โกเบ๋ง ลงไปเดินเล่นเถอะ อั๊วจะเฝ้าของให้เอง” ลูกน้องที่ตามมาบอก


“ไม่ล่ะ อั๊วไม่อยากทิ้งงาน อยู่ช่วยกันทางนี้ดีกว่า” อาเบ๋งบอก


เรือพักที่มะละกา 1 คืน พลบค่ำ ตะวันตกดินชายฝั่ง สวยเหมือนสวรรค์ คนเรือเรียกไปกินข้าว กับข้าวง่ายๆ หมูเค็ม ผัดผัก แค่นี้ก็ถือว่าดีมากสำหรับอาเบ๋ง ดีกว่าตอนลงเรือมาจากเอ้หมึง หนันหยางช่างร่ำรวยข้าวปลาจริงๆ ที่นี่ ปลาสดๆ จะกินสักเท่าไรก็ได้ แต่ที่เอ้หมึง แทบจะเป็นมื้อสวรรค์ทีเดียวหากมีทั้งหมู ปลา ผัก

ยามค่ำ ต้องผลัดเวรอยู่ยามกัน เพราะช่องแคบมะละกา ขึ้นชื่อเรื่องโจรสลัดชุกชมมาแต่ไหนแต่ไร


คืนเดือนมืด ทุกอย่างเงียบสงบ ตะเกียงแขวนเรียงตามแนวกราบเรือ ส่องสว่างพอให้เห็นทาง คนในเรือผลัดเปลี่ยนเวรยามกัน สักพักจึงได้ยินเสียงดังโครม น้ำทะเลแตกกระจาย


“ช่วยหน่อย คนตกน้ำ ระวังโจร”


2 คนกระโดดลงไปช่วยคนตกน้ำ ซึ่งพอจะตะเกียกตะกายได้ อาเบ๋งกระชับปืนที่บั้นเอว ชายคลุมหน้ามิดชิดมุ่งมาที่อาเบ๋ง ทันใดอาเบ๋งถีบออกสุดแรง ทรงตัวได้ แล้วตวัดขาใส่โจร อีกครั้งที่ได้ใช้วิชากังฟู โจรท่าทางตกใจที่อาเบ๋งเป็นมวย จึงเตรียมชักมีด แต่ช้าไป ปลายเท้าอาเบ๋งเตะเข้าที่ข้อมือ พร้อมอีกหลายหมัด เกียนเบ๋ง กระชากมีดของมันออกจากเอว ‘มีดมลายู’ พลางคิด


“อย่าๆ อย่าฆ่ากูเลย กูยอม กูยากจน เพียงแค่หาค่าข้าวค่ายาไปเลี้ยงแม่ เมีย” สำเนียงมลายูไม่คุ้นหู แต่พอจับความได้


อาเบ๋งตั้งสติ ไม่เชื่อเสียทีเดียว ไฟในเรือสว่างขึ้น พร้อมกับเสียงตะลุมบอน อีกคนเข้ามาช่วย มัดมือโจร


“อยาทำอะไรมัน อั๊วขอร้อง” เกียนเบ๋งเสียงเข้ม


“บนเรือนี่ ไม่มีอะไรคุ้มครองชีวิตพวกมัน ขโมยก็ยิงทิ้ง ไม่งั้น มันก็ทำอีก เผลอๆ คราวหน้าเอาพวกมาด้วย” ไต้ก๋งเรือบอก นำ้เสียงเย็นชา พร้อมลั่นไก


“อาไต๋ อั๊วขอเถอะ เดี๋ยวอั๊วจะจัดการสั่งสอนมันเอง” อาเบ๋งขอชีวิตโจร


“ลื้อนี่ มันอ่อนหัด แล้วแต่ลื้อนะ ถือว่าลื้อจับมันได้”


สายตาคนพื้นเมืองเป็นมิตร ไม่ใช่คนร้าย “ดวงตา” หลอกกันไม่ได้ สภาพผอมโซ แต่ไม่มีกลิ่นยาฝิ่น แสดงว่าไม่เสพฝิ่น มือหยาบกระด้าง คงทำงานหนัก อาเบ๋งตวงข้าวส่วนของตัวเอง ซิอิ๊ว 1 ไห เงินอีกนิดหน่อย


“อั๊วเชื่อลื้อนะ ถือว่าวัดใจกัน ถ้าวันหน้า ลื้อยังรักเป็นโจร อั๊วจะถือว่าลื้อเป็นศัตรูชั่วชีวิต” ภาษามลายูของอาเบ๋งกระท่อนกระแท่นเต็มที แต่ก็พอสื่อสารเข้าใจได้


โจรพื้นเมืองยกมือคำนับอาเบ๋งท่วมหัว พร้อมหนีลงเรือไป ส่วนพรรคพวกคนอื่นๆ พลอยถูกปล่อยไปด้วย


“ลื้อนี่ ใจดีผิดที่ผิดทาง อั๊วไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้ วิชากังฟูก็ดี มาจากไหนล่ะ”


อาเบ๋งเล่าเรื่องตัวเองให้ไต้ก๋งฟังย่อๆ พอได้รู้จักกัน


“คนเอ้หมึงนี่เอง อั๊วอยู่แต้จิ๋ว ขับเรืออยู่ที่ปีนัง ลื้อนี่ มีวิชาติดตัวดี”


โจรพื้นเมือง ใครจะรู้วันหนึ่งจะกลายเป็นเพื่อนรักที่ช่วยเหลืออาเบ๋งให้รู้ที่ทางในแถบ สุมาตราตะวันออกในวันข้างหน้า


Comments


bottom of page