top of page

ตอนที่ 7 : ขยัน อดทน ไขว่คว้า (2)


ตกเย็น 3 หนุ่มเถลไถลเดินเล่นในเมือง ผ่อนคลาย หามื้อเย็นราคาไม่หนักกระเป๋านัก กินกัน


“อั๊วไม่อยู่ ลื้ออย่าตะกละมากนักนะ อาหลง กินน้อยๆ ทำงานมากๆ” อาเบ๋งแหย่อาหลง


“ลื้อไม่อยู่ อั๊วจะกินตามใจปาก โกฮงไม่ขี้เหนียวเหมือนลื้อ วันๆ เอาแต่ทำงานเก็บเงิน” อาหลงย้อน


“วันนี้เรากินไก่ทอดขมิ้น กับนาซิโกเร็งดีกว่า เราไม่ค่อยได้กินของพื้นเมืองที่นี่กันเลย” อาฮงชวนน้องๆ


“ดีๆ อั๊วชอบไก่ทอดขมิ้น” อาหลงกุลีกุจอ


เพิงขายกับข้าวพื้นเมืองตอนค่ำ เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย ทั้งชาวพื้นเมือง ชาวจีน แขกอินเดีย ต่างพูดคุยกันคนละภาษา แต่ก็พอจะเข้าใจกันได้ ด้วยภาษาพื้นเมือง ขนมหวานสีสันสวยงามเรียงราย ดูเหมือน เริมปะห์อูดัง จะถูกปาก 3 หนุ่มมากที่สุด


กลิ่นหอมเครื่องเทศลอยอวลทั่วครัว กระเทียม พริกไท รากผักชี ผสมเคล้ากัน ผัดเข้ากับกุ้งสับ เตรียมสอดไส้ข้าวเหนียว แต่งน้ำอัญชัน เหล้าให้ทั่ว นึ่งสักพักกลิ่นหอมฟุ้งชวนหิวยามบ่าย


“วันนี้ เจ้าสัวเบ๋งเดินลงมาถึงในครัว มีอะไรให้รับใช้คะ” ชมจันทราเอ่ยแซวคู่ชีวิต คู่ทุกข์คู่สุข


“กลิ่นนี่ มันหอมจริงๆ คนจีนจนๆ อย่างฉันนี่ อยากจะกินต้องเก็บเงินอยู่หลายวัน” ทั้งคู่หัวเราะ ยิ้มแก่กัน ทุกครั้งเมื่อระลึกความหลัง


“แขกมากันหรือยัง เจ้าสัว เดี๋ยวให้เด็กเตรียมของว่างน้ำชา เสิร์ฟ แน่ใจนะว่าจะไม่คุยกันจนย่ำค่ำย่ำมืด”

ชมจันทราชวนคุย


“ไม่หรอก แค่คุยกัน ต้อนรับครูสอนภาษาจีนคนใหม่ ขอตัวมาจากพัทลุง เพราะครูของเราไม่พอ อีกคนก็จะกลับเมืองจีนด้วย ได้มาช่วยงานที่กันตัง นี่ 2 คน อีกหน่อย เราจะเปิดโรงเรียนภาคค่ำ ให้คนจีนที่สนใจมาเรียนด้วย เป็นแบบศึกษาผู้ใหญ่”


“ดีเหมือนกัน ไม่ต้องรอครูจากเมืองจีน เดี๋ยวนี้ ยิ่งเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จะเข้าสยามแต่ละคราว ลำบากเหลือเกิน พวกโรคตาแดงอีก กลัวมันจะระบาดขึ้นมาอีก” ชมจันทราออกความเห็น


เจ้าสัวเบ๋ง หรือ พระหรติโภคกิจพิพัฒน แต่งตัวลำลองด้วยชุด ฉางเผ่า นั่งรอต้อนรับ ครูภาษาจีนคนใหม่ที่จะมาช่วยงาน ทั้งสองจะต้องสอนภาษาจีนแก่นักเรียนทุกระดับชั้น แต่ศึกษาผู้ใหญ่ตอนเย็น แก่ชาวจีนที่สนใจ ครูเหม็งและครูหยุ่น ในวัย 20 ต้นๆ ดูท่าไฟแรง กระตือรือล้น ไม่ต่างจากโกเบ๋งเมื่อยังหนุ่ม


เมื่อดูแน่ว่าปลอดคน ครูทั้ง ๒ คนและอาตง คนของเถ้าแก่ตันที่สิงคโปร์จึงคุยกัน


“นับวันฝ่ายก๊กหมินตั๋งก็ยิ่งหมางเมินพวกคอมมิวนิสต์ ทั้งที่เงินทุนส่วนใหญ่ก็รับจากรัสเซีย ตอนนี้ ตัวอันตรายคือ กองทัพญี่ปุ่น ดูเหมือนจะเข้ายึดทางแมนจูเรียให้ได้ รัฐบาลที่ปักกิ่งก็คอยจับตาดูอยู่ หลังจากท่านซุนจากไป ปัญหาเรื่องการจราจลในกวางตุ้งก็น้อยลง เราไม่ต้องการสงครามภายในที่ห้ำหั้นกันเอง” อาเหม็งเล่า


“พวกเราชาวจีนอั่วเคี้ยว โพ้นทะเลสนับสนุนความปรองดองในชาติ เราบอบช้ำเรื่องสงครามมามากแล้ว ไม่สู้กับคนอื่น ก็สู้กันเอง ผู้คนชาวบ้านลำบากกันไปหมด ต้องหนีเร่ร่อน ออกมาขายแรงงาน ถูกเขารังแก เอาเปรียบ เหมือนไม่ใช่คน” เจ้าสัวเบ๋งระบาย


“อั๊วไม่อยากให้เงินที่พวกเราบริจาคไป กลายเป็นอาวุธมาเข่นฆ่ากันเอง มันควรจะใช้พัฒนาชาติจีนของเรา แทนที่จะต้องไปพึ่งพารัสเซียเป็นส่วนใหญ่...” เกียนเบ๋งเอ่ยต่อ


“เรื่องนี้เถ้าแก่ตันสงสัยยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลายเดือนก่อนมีประชุมสมาคมจีนโพ้นทะเลตัวแทนจีนคณะชาติ แสดงบัญชีรับบริจาคจากสมาคมต่างๆ ในหนันหยาง มันออกมาน้อยกว่าความเป็นจริงที่พวกเรารวบรวมไว้” อาตงเสริม


“เรื่องนี้พวกเราก็สงสัย พวกทหารนายพลเจียงจับตาดูพวกเรามาก เขากลัวเราจะรู้อะไรสักอย่าง” อาหยุ่นเล่า


“ตอนนี้สยามจับตาดูชาวจีนมาก ทางเมืองสงขลา ตำรวจสันติบาลอยู่เต็มไปหมด ดีที่ได้โหล่วซี 2 คนมาช่วยงานทางนี้ พัทลุงเป็นเมืองผ่าน คนไม่พลุกพล่าน ข้ามมาฝั่งอันดามัน ก็ปลอดตาผู้คน เกิดอะไรฉุกเฉินอั๊วส่งโหล่วซีออกไปปีนังได้ ที่นั่นอยู่ในบังคับบริเตน เราต้องใช้ประโยชน์จากพวกฝรั่งบ้าง” เจ้าสัวเบ๋งวางแผนเตรียมพร้อม


“อันที่จริง พวกเรากลุ่มกวางตุ้งรักชาติต้องการความสงบ ก่อนหน้านี้ เราก็ไม่เห็นด้วยที่พยายามจะตั้งรัฐบาลที่นานกิง และพยายามฝึกอาวุธให้คนท้องถิ่น สุดท้ายมันเพื่ออะไร ไม่ได้อะไร ชาวจีนไม่ว่าจะชาวฮั่น ชาวแมนจูก็ไม่ควรจะฆ่ากันอีกแล้ว พอกลุ่มเราแสดงความเห็นต่าง ก็ถูกจับตา บางคนถูกสะกดรอย ตามฆ่า หนีไปเซี่ยงไฮ้ก็ไม่มีประโยชน์ ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนายพลเจียง ทางเดียวคือออกมาหนันหยาง ทำมาหากิน เลี้ยงปากท้องลูกเมีย” ครูหยุ่นเล่า


Opmerkingen


bottom of page