top of page

แสงสรวงสัชชนาไลย ๓ : ชมเมืองสวรรคโลก (๒)



ร้านของชำ มีธัญพืชสารพันตั้งขายอยู่หน้าร้าน ถั่วลิสง แมงลัก ลูกเดือย ข้าวฟ่าง มีทั้งแยกใส่ถุงพร้อมขาย และตั้งกระสอบพร้อมกระบอกตวง พลันสายตาเหลือบไปเห็น


“น้ำตาลอ้อยนี่คะ แม่ลำพา”


“ค่ะ เห็นแล้วคิดถึงคุณหอม ของบ้านเราก็แบบนี้ น้ำตาลอ้อยจากแถบบ้านเรา จะไม่เจือของอื่นเลย น้ำอ้อยล้วน สีจะออกเข้มกว่า ที่ผสมแบะแซ”


พลันคิดถึงข้าวตังทอด ที่แม่จะหยอดหน้าด้วย น้ำตาลเหนียว


“จัน แม่ฝากขนมโหลนี้มานะ ลูก แบ่งเพื่อนๆ ทานบ้างก็ได้ แล้วแม่จะลูกไปเยี่ยมลูกๆ ตอนปิดเทอมนะ คุณพ่อฝากความคิดถึงให้ลูกทุกคน เป็นเด็กดีนะลูก ไม่ดื้อกับคุณยาย แม่”


ความทรงจำวัยเด็กทำให้ น้ำตา เอ่อได้ทุกคราวไป ตามด้วย “ความรู้สึกผิด” หน้าที่การงานที่พาจันนวลก้าวสู่ วิชาชีพระดับสูง พลันหมดความหมาย เมื่อเสียงปลายสาย


‘แม่เสียแล้วนะ แกอยู่ไหน โทรตามเป็นวันๆ ยังไม่รับสาย’


จันนวลปาดนำ้ตา วางห่อน้ำตาลอ้อยลง กล่าวขอบคุณ เจ้าของร้าน ซึ่งดูจันนวลไม่วางตา


“ใครน่ะ ลำพา”


“ลูกสาวคนเล็ก คุณหอมกับท่านนายพล มาจากเมืองฝรั่งโน่น”


ดูเหมือนแม่ลำพาไม่เบื่อที่จะตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“ไปค่ะ คุณหนู ข้ามถนนเดินเลียบถนนไปหน่อยเดียวก็ถึงธนาคารค่ะ ทนายทรงยศคงใกล้มาถึงแล้ว”

“แปลกนะคะ สวรรคโลกเป็นเมืองเล็ก แต่มีธนาคารหลายแห่ง ตั้งเรียงกันเลย” จันนวลเอ่ย


“สมัยก่อน บ้านเราเป็นคึกคักกว่านี้มาก ค้าขายกัน วันยันค่ำ เป็นแหล่งพืชไร่ ทั้งคุณหญิงพรรณ คุณหญิงวาด คุณหอม แม่คุณหนู หัวไม่ได้วาง หางไม่ได้เว้น สมุดบัญชีเป็นตั้งๆ ถั่วเขียว ถั่วยี่สง ฝ้ายนี่ อันดับหนึ่ง ส่งกันมานี่ จากทาง แม่สิน สารจิต ห้องแถวนั่น คุณท่านเช่าจากการรถไฟ เปิดเป็นหน้าร้าน เงินหมุนเข้าออกสะพัด สิ้นท่านเจ้าคุณน้อย คุณท่านก็อยากพัก แรงเดียวไม่ไหว ก็เลยกลับไปที่บ้านสวนคลองบางระมาด แล้วก็เสียที่นั่น แต่คุณหอมท่านไม่กลับ ท่านว่าท่านนายพลเป็นคนที่นี่ ท่านก็จะตายอยู่ที่นี่”


จากชั้นบนธนาคาร มองข้ามมา เห็นสถานีรถไฟ สวรรคโลก ดูเก่าแก่ น่ารัก ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร พลางคิด ‘ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย’


“สวัสดีครับ ผมทรงยศ ทนายของท่านนายพล ขวัญสรวง”


จันนวลยกมือไหว้ สวัสดี พลางเดินตามทนายทรงยศไปพบพนักงานธนาคาร เพื่อดูทรัพย์สินที่ฝากไว้


โฉนดที่ดินแบบเก่า ประทับตราแผ่นดินสมัยรัชสมัย พระจุลจอมเกล้า แผ่นใหญ่ หลายฉบับ ห่อด้วยพลาสติกใสอย่างดี กันเปื่อยขาด ตรวจเทียบดูกับบัญชีที่จดไว้ ครบทุกผืน จันนวล ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ตระกูลทางพ่อมีที่ดินในสววรคโลกมากเช่นนี้ ‘แล้วจะทำอย่างไรต่อไป เก็บไว้ก็เป็นภาระต้องดูแล’


“ที่ดินในสวรรคโลกส่วนใหญ่นี่ เป็นไร่อ้อย รวมกันแล้ว ประมาณ 500 ไร่ ทางแม่สิน ศรีสัชนาลัย อีกประมาณ 300 ไร่ เป็นนาข้าวให้เช่า ร้างบ้างก็มี ผมให้คนไปดูบ้างตามโอกาส เพราะกลัวคนบุกรุก ส่วนใหญ่ผู้เช่าก็ยากจนครับ ค้างค่าเช่าก็มาก สมัยก่อน ท่านนายพล และคุณหอมก็รับเป็น ข้าว ใช้หนี้มาบ้าง ส่วนที่ดินที่คลองมะพลับ มีทั้งไร่อ้อย ถั่ว ฝ้าย ซึ่งเลิกไปนานแล้วครับ ประมาณ อีก 500 ไร่ ทั้งหมด เสียภาษีถูกต้องครับ”


ในดู้นิรภัย จันนวลแลเห็นหีบเหล็กใบย่อม “นี่ คุณท่านให้เก็บไว้ที่นี่ รู้สึกว่าจะเป็นเครื่องประดับเก่าของ คุณหญิงพรรณ คุณหญิงวาด และของคุณหอมเองบางส่วน” ทนายทรงยศบอกเล่าเรื่องราว


คุณท่านย้ำ “ของในตระกูล ไม่อยากให้ตกไปที่มือสะใภ้ รู้หน้าไม่รู้ใจ ฉวยมือเติบตกอับ ขายสมบัติกิน คุณหญิงท่าน จะตามมาฉีกอกฉัน” คำพูดที่ทนายทรงยศจำได้ขึ้นใจ


รับกุญแจมาแล้ว จันนวลจึงไล่เปิดกล่องต่างๆ ดู เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ต่างๆ ยังคงดู งาม ข้ามเวลา ยิ่งพลอยต่างๆ ด้วยแล้ว ไม่ว่าเป็นสร้อยข้อมือ กำไล เข็มขัดทอง นาก เนื้อหนาแน่นหนัก แม้หมองไปบ้าง ทว่าลวดลายเครือเถาอย่างฝรั่ง art deco ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน กำไลหัวบัว ‘คงเป็นกำไลข้อเท้า’ กำไลทองลายดอกรัก กำไลเพชรแซมไพลิน แหวนพลอยสีต่างๆ เข้าชุดกับกำไล ปิ่นปักผม และอื่นๆ สุดจะพรรณนา


“คุณท่าน รอบคอบมากครับ เขียนเป็นเงื่อนไขชัดเจน หากใครรับเอาที่ดินผืนนี้ไป ก็จะได้ทรัพย์สินส่วนนี้ไปด้วย เพราะรู้ดีว่ามูลค่าที่ดินสวรรคโลกนี่ คงสู้ที่ทางในกรุงเทพ นนทบุรี ไม่ได้” นายทรงยศเอ่ย


“แล้วนี่ พวกบรรดาพี่สะใภ้ไม่เต้นกันใหญ่หรือคะ” จันนวลถาม


“ไม่มีใครได้เห็นครับ คุณท่านเขียนไว้ว่าให้เปิดตู้นิรภัยหลังมีกรรมสิทธิที่ดินชัดเจนแล้ว”


“ดิฉันก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เครื่องประดับมากมาย ใส่ไปไหนมาไหน คนคงคิดว่า บ้า กันพอดี” พลางหัวเราะ


“ที่สุดคง มอบให้พิพิธภัณฑ์ ไป เพราะ คุณพ่อ เป็นคนที่นี่ ท่านพูดถึง สววรคโลก บ่อยๆ และอยากให้มา ดิฉันดื้อดึง รั้นจะอยู่ต่างประเทศ เลยไม่ได้มาเสียที”


จันนวลนั่งตรวจดูรายละเอียด โฉนดที่ดินแต่ละผืน พร้อมลงชื่อรับรองท่ามกลางพยานจากฝ่ายธนาคาร แม่ลำพา และทนายทรงยศ เสร็จสิ้นขั้นตอน ทนายทรงยศ ขอตัวกลับ


“ผมลาเลยครับ หากมีข้อสงสัย หรือคำถามอะไร โทรศัพท์ได้ทันทีเลยครับ อยู่แค่พิษณุโลกเอง”


จันนวลยกมือไหว้ลา


ขณะเดินออกจากธนาคาร มีคำถามมากมาย “ตรอน ฝาง นี่อยู่ที่ไหนคะ แม่ลำพา เห็นเขียนอยู่ในโฉนด”


“อ้อ อยู่อุตรดิตถ์ค่ะ คุณหนู เมืองตรอน ไม่ไกลนัก ออกศรีสัชนาลัยไปหน่อยเดียว เมืองฝางที่อยู่ตัวเมือง ไปทาง ลับแล” แม่ลำพายิ้ม


“คุณทวด คุณปู่ นี่ ช่างไปสรรหาซื้อที่ทางนะคะ”


“อย่างที่ป้าเคยบอกคุณหนูไงค่ะ เป็นธรรมเนียมบ้าน เห็นตั้งแต่สมัยท่านนายพล ทุกครั้งที่ท่านกลับมาสวรรคโลก นอกจากจะต้องไปไหว้พระธาตุที่ ศรีสัชนาลัย ทุ่งยั้ง และ ฝาง ท่านว่าทำกันมาเป็นประเพณีตั้งแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่ ก่อนคุณหนูกลับเมืองฝรั่ง พอจะมีเวลาไหมคะ นี่ ขึ้นไป ไหว้พระธาตุกัน จะได้เลยไปดูที่ทาง แถบคลองมะพลับ เมืองตรอน ด้วยเลย”


จันนวลรับคำ


“หิวไหมคะ เมื่อเช้าทานกาแฟไปแก้วเดียวเอง เอ ทานก๋วยเตี๋ยว เม้ง แล้วกัน หน้าสถานีรถไฟนั่น”


จันนวลอยากไปดูสถานีรถไฟเก่านั่น มากกว่าจะกินก๋วยเตี๋ยว แต่เกรงใจแม่ลำพา กลัวว่าจะหิว “ค่ะ ดีเหมือนกัน ยังไม่ได้กินอะไรจริงจัง เสียที”


“สมัยก่อนมีร้านรวงมากกว่านี้ค่ะ ก๋วยเตี๋ยวเม้งนี่ ขายมาจะร้อยปีแล้ว นี่คงรุ่นที่ ๓ ล่ะมัง” แม่ลำพาเล่าเรื่อย


จันนวลเออออ ตามที่แม่ลำพาชี้ชวน สักพักชามก๋วยเตี๋ยววางตรงหน้า “สวย น่าทานดีจัง”


คนปรุงก๋วยเตี๋ยวหันมาส่งยิ้ม และลอบมองจันนวล


นานเท่าไรแล้ว ที่ไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยว “ดี” อย่างตรงหน้านี้ กับข้าวกับปลาในเมืองกรุง มัก “ปรุงด่วน” เครื่องปรุงส่วนใหญ่เป็นผงปรุงรส จะทำน้ำแกง ก็สักแต่ใส่ผงปรุงรส ทั้งซากไก่ หมู และอะไรก็แล้วแต่สุดจะเดาได้ ทว่า ก๋วยเตี๋ยวตรงหน้านี้ ได้รส “เครื่องก๋วยเตี๋ยว” อย่างกระเทียมเจียว กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้นปลา ซอสเยนตาโฟ สีอ่อน พร้อมน้ำแกงแยกต่างหาก


“พอทานได้ไหมคะ คุณหนู” แม่ลำพาเอ่ยถาม


“อร่อยกว่าที่กรุงเทพมากเลยค่ะ รสชาติเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ” จันนวลตอบ


“คุณหนูจำได้หรือคะ ว่ามาทานที่นี่”


“ไม่รู้แน่ว่าที่ไหน นานมากเหลือเกินแล้ว แต่จำได้ว่าทานกับแม่”


ขณะที่เพลินกับก๋วยเตี๋ยวนั้น กรันเดินเข้ามาในร้าน


“คุณกรัน นั่งด้วยกันไหมคะ” แม่ลำพา เอ่ยชวน


จันนวลเหลือบตาขึ้น ประสานตากับกรัน “แม่ลำพาอย่ารบกวน คุณกรันเลยค่ะ เดี๋ยวเราก็จะเสร็จแล้ว”


สายตากรันดู “พ้อ” น้อยใจที่จันนวลจำเขาไม่ได้


“ไม่รบกวนครับ” กรันตอบ


“ป้าบอกคุณหนูแล้ว เรื่องซ่อมบ้าน สักพักคงรบกวนคุณกรัน” กรันพยักหน้ารับ


“ขอเวลาตรวจตราดูสักพักนะคะ คงต้องรบกวนคุณ แม่ลำพาชมคุณมากว่า ฝีมือไม้ ต้องคุณกรัน”


กรันยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร


จันนวลพลางนึก ‘คนที่นี่ นิ่ง กันเสียจริง ถามอะไรไม่ค่อยจะตอบออกเป็นคำ’


ภาพคุ้งน้ำจากสะพานและยอดเจดีย์ทองก่อนถึงบ้าน ช่างเป็นภาพไม่รู้เบื่อ จันนวลรู้สึก รัก คุ้นเคยกับที่นี่มาแสนนาน จึงขอให้นายมั่นชะลอ


“นายมั่น ไปรอที่เชิงสะพานด้านล่างนะคะ หนุขอยืนชมวิวตรงนี้หน่อย ชอบจริงๆ แม่ลำพาไปกับนายมั่นเถอะ”


จันนวลเพ่งมองดูตลิ่ง น้ำยม สูงลาด เขียวครึ้มด้วยต้นไม้นานาชนิด ที่ไม่พลาดแน่ คือ กล้วย ไผ่ แลพงหญ้า บางตอนเห็นชาวบ้านลงไปทำสวนอยู่ที่เชิงตลิ่ง บ้างตกปลา บ้างเหวี่ยงแห อากาศดี แม้ชื้นอยู่มาก

อย่างนี้สินะ แม่ถึง รัก บ้านพ่อ สวรรคโลก มาก อยากกลับมาที่นี่ มากเสียกว่าบ้านสวนบางคลองชักพระเสียอีก


จันนวลค่อยเดินลงสะพาน “ชัน” อยู่มาก พลางมองไปรอบๆ ดื่มด่ำบรรยากาศใหม่ในชีวิต แทนที่ตึกรามเก่าแก่อย่างใน ปารีส และเวียนนา


“แม่ลำพาคะ ที่ปล่องไฟนั่นเข้าไปดูได้ไหมคะ” จันนวลถาม


“อ้อ โรงหีบอ้อย น่ะหรือคะ ได้ค่ะ ฝุ่นอาจจะมากหน่อย เดี๋ยวป้าไปเปิดให้ลมเข้าหน่อย จะได้ไม่อับ คุณหนูรออยู่ที่เรือนก่อนนะคะ”


จันนวลนึกขึ้น ‘ลองตรวจลูกกุญแจดูดีกว่า’ หยิบกล่องพวงกุญแจที่ทนาย ทรงยศ ให้มา พลางเดินไปที่เรือนใหญ่


‘หอมจริง กลิ่นลูกจัน แม่คงปลูกไว้รอบบ้านสินะ’





47 views0 comments

コメント


bottom of page